[x] ปิดหน้าต่างนี้
 

 

  
มะเขือเทศ
โดย : ดร. ศิรพงศ์ รักต์เธียรธรรม   เมื่อวันที่ : อาทิตย์ ที่ 11 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2560   


มะเขือเทศ

https://www.honestdocs.co/tomato-how-to-drink-and-eat
https://www.honestdocs.co

น้ำมะเขือเทศ เครื่องดื่มมาแรงของคนรักสุขภาพ แต่ถ้าทานตามกันเป็นกระแส เดี๋ยวเดียวก็คงเบื่อ ไม่สู้กับการที่เราได้รู้จักสรรพคุณเจ๋ง ๆ ของมะเขือเทศแบบเต็ม ๆ ทีนี้จะได้ทานกันแบบรู้จริง
กระแสการดื่มน้ำมะเขือเทศมาแรงไม่น้อยเลยค่ะ ด้วยสรรพคุณของมะเขือเทศผลสีแดงสด ที่หลายคนรู้กันอยู่แล้วว่ามีสารอาหารสำคัญ ๆ มากมาย โดยเฉพาะข้อมูลที่บอกต่อกันว่าทานมะเขือเทศแล้วผิวสวยใส เลยยิ่งทำให้คุณผู้หญิงดื่มน้ำมะเขือเทศกันเป็นประจำ แต่จะบอกให้ว่า มะเขือเทศมีดีกว่าแค่เรื่องการบำรุงผิว
วันนี้กระปุกดอทคอมขอรวบรวมข้อมูลเรื่องมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศมาบอกกันอีกครั้ง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถดื่มน้ำมะเขือเทศได้ ส่วนข้อมูลที่อ้างว่า ดื่มน้ำมะเขือเทศแล้วทำให้ผิวขาวได้นั้น จะเป็นความจริงหรือไม่ ก็ต้องมาหาคำตอบกันวันนี้เลย
น้ำมะเขือเทศ
มะเขือเทศให้สารอาหารอะไร มีอะไรอยู่ในมะเขือเทศ ?
ในมะเขือเทศผลกลม ๆ สีแดงสด มีสารอาหารอยู่มากมายทีเดียวค่ะ ลองมาดูข้อมูลทางโภชนาการของมะเขือเทศ 100 กรัม ตามที่เว็บไซต์ usda.gov ของกระทรวงเกษตรฯ สหรัฐฯ ระบุไว้กันก่อน
* พลังงาน 18 กิโลแคลอรี
* น้ำ 94.34 กรัม
* โปรตีน 0.95 กรัม
* ไขมัน 0.11 กรัม
* คาร์โบไฮเดรต 4.01 กรัม
* ไฟเบอร์ 0.7 กรัม
* น้ำตาล 2.49 กรัม
* แคลเซียม 11 มิลลิกรัม
* ธาตุเหล็ก 0.68 มิลลิกรัม
* แมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม
* ฟอสฟอรัส 28 มิลลิกรัม
* โพแทสเซียม 218 มิลลิกรัม
* โซเดียม 11 มิลลิกรัม
* สังกะสี 0.14 มิลลิกรัม
* วิตามินซี 22.8 มิลลิกรัม
* โฟเลต 13 µg
* วิตามิน เอ 489 IU
* วิตามิน อี 0.56 มิลลิกรัม
* วิตามิน เค 2.6 µg
* ลูทีนและซีแซนทีน 123 µg
นอกจากนี้ยังมีเบต้าแคโรทีน ไลโคปีน วิตามินอีกหลายชนิด ซึ่งที่เราอยากจะแนะนำให้รู้จักต่อไปก็คือ "ไลโคปีน"
น้ำมะเขือเทศ
ประโยชน์ของมะเขือเทศ สรรพคุณมหัศจรรย์จาก "ไลโคปีน"
พระเอกของมะเขือเทศลูกกลม ๆ ก็คือ "ไลโคปีน" (lycopene) นี่เองค่ะ ซึ่งสารไลโคปีนเป็นสารอีกตัวในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบในผักผลไม้ที่มีสีส้มสีแดง อย่างเช่น แตงโม มะละกอ แครอท ฟักข้าว เกรปฟรุต ถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ชั้นยอด โดยจากข้อมูลของ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ในมะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีปริมาณไลโคปีนประมาณ 0.9–9.30 มิลลิกรัม
ซึ่งไลโคปีนและวิตามินแร่ธาตุอื่น ๆ ในมะเขือเทศ มีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพแทบจะทุกส่วนของร่างกาย โดยมีงานวิจัยมากมายให้คำยืนยันถึงสรรพคุณชั้นเลิศของพืชสีแดงชนิดนี้ อย่างเช่น
+ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ข้อนี้ถือเป็นสรรพคุณเด่นมากของพืชสีแดงชนิดนี้เลย
+ ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ เพราะมะเขือเทศมีไฟเบอร์และน้ำมาก จึงช่วยดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นไปอย่างปกติ
+ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน
+ ชะลอความแก่ ริ้วรอยแห่งวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
+ บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น
+ ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อยู่ในผนังหลอดเลือด จึงลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
+ บำรุงสายตา เพราะมีวิตามิน เอ สูง
+ มีวิตามินซีสูง ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ไม่ให้เป็นหวัดง่าย
+ ควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด
+ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เพราะมีวิตามินเคสูง
+ ช่วยลดอาการบวมน้ำในร่างกาย เพราะมะเขือเทศจะช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อ
+ ช่วยทำความสะอาดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อยู่ในผนังหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอลไม่ดีในกระแสเลือด
+ ทานเป็นประจำทุกวันช่วยลดความเครียดได้
+ บำรุงผมให้เงางาม แข็งแรง ดูมีสุขภาพดี
+ ช่วยขับปัสสาวะ
น้ำมะเขือเทศ
มะเขือเทศ ควรกินแบบสุกหรือดิบ ?
หลายคนยึดติดกับความเชื่อที่ว่าต้องทานผักแบบสด ๆ เพราะถ้าทานผักที่ผ่านความร้อนแล้ว ผักนั้นจะสูญเสียสารอาหารสำคัญไปเกือบหมด แต่เรื่องนี้ใช้ไม่ได้กับมะเขือเทศนะคะ เพราะถ้าอยากรับประโยชน์จากมะเขือเทศให้มากที่สุดต้องทานแบบที่ผ่านการปรุงสุกมาแล้ว เนื่องจากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า
นอกจากนี้ ไลโคปีนเป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมัน ดังนั้น ถ้าใช้น้ำมันปรุงมะเขือเทศด้วย จะยิ่งทำให้ร่างกายดึงไลโคปีนไปใช้ได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำให้ "ผู้หญิง" ทานมะเขือเทศสดด้วย เพราะมะเขือเทศสดมีวิตามินซีสูง และมีใยอาหาร ทำให้ผิวพรรณดี ส่วน "ผู้ชาย" ควรทานแบบสุก เพื่อให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนที่จะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก
ส่วนที่มีบางคนสงสัยว่า การกินมะเขือเทศดิบจะมีโทษอะไรบ้างหรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนค่ะ เพียงแต่ว่านักโภชนาการมักแนะนำให้รับประทานมะเขือเทศสุกหากต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไลโคปีนอย่างเต็มที่ เพราะความร้อนจะทำให้ไลโคปีนอยู่ในสภาพที่ร่างกายพร้อมถูกดูดซึมได้ทันที ถึงแม้ว่าการให้ความร้อนอาจลดปริมาณวิตามินซีลงไปบ้าง แต่คุณค่าส่วนอื่น ๆ ก็ยังดีกว่าอาหารอีกหลายชนิด
ดื่มน้ำมะเขือเทศตอนไหนดี ถึงได้ประโยชน์ ?
อย่างที่บอกไปแล้วว่า การจะทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์ต้องทานแบบสุก แต่สำหรับคนที่อยากดื่มน้ำมะเขือเทศล่ะ จะได้รับประโยชน์กับเขาด้วยหรือไม่ อ.แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการบำบัดและผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ก็มีคำแนะนำมาบอกว่า การจะดื่มน้ำมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ทำได้ 2 แบบคือ
- ดื่มก่อนอาหาร คือตอนท้องว่าง โดยหยดน้ำมันลงในน้ำมะเขือเทศเพื่อช่วยในการดูดซึมของร่างกาย
- ดื่มหลังอาหาร หลังจากทานอาหารก็สามารถดื่มน้ำมะเขือเทศตามได้ทันที โดยไขมันในอาหารที่กินเข้าไปจะช่วยในการดูดซึมไลโคปีนได้ดีมากขึ้น
ใครดื่มน้ำมะเขือเทศได้-ไม่ได้ ?
อย่างที่เห็นว่ามะเขือเทศ 1 ผล ให้พลังงานน้อยมาก และมีน้ำตาลน้อยอยู่แล้ว หากนำมาคั้นแล้วไม่เติมน้ำตาลลงไป คนอ้วน หรือคนที่อยากลดน้ำหนักก็สามารถดื่มได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวอ้วนเลย ส่วนคนป่วยโรคเบาหวานก็สามารถดื่มได้เช่นกัน
แต่ที่ต้องระวังคือ ผู้ป่วย "โรคไต" เพราะข้อมูลโภชนาการเห็นแล้วว่า มะเขือเทศมี "โพแทสเซียม" สูงมาก จึงไม่เหมาะกับคนป่วยโรคไต หรือผู้ที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เพราะร่างกายอาจขับโพแทสเซียมออกไม่หมด
นอกจากนี้ คนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ไม่ควรทานมะเขือเทศมากเกินไป เพราะมะเขือเทศมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งถ้าทานมากอาจทำให้เกิดอาการได้
น้ำมะเขือเทศ

วิธีทำน้ำมะเขือเทศแบบคนไม่ชอบก็ดื่มได้
สำหรับใครที่ไม่ชอบทานมะเขือเทศอยู่แล้ว พอนำมาคั้นเป็นน้ำก็อาจจะยังกลั้นใจทานไม่ไหว อาจเพราะไม่ชอบกลิ่นหรืออะไรก็ตาม ลองใช้สูตรทำน้ำมะเขือเทศที่ อ.แววตา แนะนำดูค่ะ น่าจะช่วยให้คนที่ไม่ชอบมะเขือเทศ สามารถดื่มน้ำมะเขือเทศได้มากขึ้น
- น้ำมะเขือเทศมาจุ่มน้ำร้อน ประมาณ 20-30 วินาที
- ลอกเปลือกมะเขือเทศออก
- นำมะเขือเทศไปปั่นใส่น้ำแข็งหรือโยเกิร์ตตามความชอบ อาจจะผสมน้ำส้มสด น้ำมะนาว น้ำผลไม้อื่น ๆ หรือน้ำผึ้งนิดหน่อยให้มีรสเปรี้ยว รสหวาน เข้ามาผสม ก็จะทำให้กินง่ายขึ้น

น้ำมะเขือเทศดื่มแค่ไหนดี ? มากไป อันตรายไหม ?
อาหารทุกชนิดถ้าทานมากเกินไปก็เป็นอันตรายได้ไม่ต่างจากน้ำมะเขือเทศ ที่ถ้าดื่มมากเกินไปก็ต้องระวังว่าร่างกายจะได้รับวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้กลายเป็นโรคนิ่วได้
นอกจากนี้ มะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูงมาก อ.แววตา จึงแนะนำว่าในคนปกติควรดื่มน้ำมะเขือเทศไม่เกิน 2 แก้ว หรือ 2 กล่องต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายจะสามารถขับโพแทสเซียมออกมาได้หมด
อย่างไรก็ตาม ใครที่ชอบดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่อง ยังต้องเลือกดื่มอย่างระมัดระวังด้วย เพราะอาจมีการเพิ่มโซเดียมลงไป ดังนั้นควรเลือกน้ำมะเขือเทศกล่องที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ไม่เช่นนั้นร่างกายเราอาจได้รับโซเดียมมากเกินไป ทั้งจากในมะเขือเทศเอง และจากโซเดียมที่เติมเข้ามา ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต
ดื่มน้ำมะเขือเทศทำให้ผิวขาวได้จริงไหม ?
สาว ๆ ยุคนี้นิยมดื่มน้ำมะเขือเทศมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผิวขาวได้ แต่จริง ๆ แล้วแค่บำรุงผิวพรรณให้ดีขึ้นเท่านั้นค่ะ โดยมีข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุไว้ว่า ในน้ำมะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีน สารไลโคปีน และเม็ดสีส้มแดงของมะเขือเทศ เมื่อทานเข้าไปเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน ๆ และมากเพียงพอ ก็ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูอมชมพูได้ แต่ไม่ใช่สีผิวที่แท้จริง และไม่ได้อยู่คงทนถาวร เพราะถ้าหากหยุดรับประทานไปเพียงแค่ 1 สัปดาห์ สีผิวเดิมของเราก็จะกลับมาแล้ว
ดังนั้น ข้อมูลที่อ้างว่า ดื่มน้ำมะเขือเทศแล้วทำให้ผิวคล้ำกลับมาขาวได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดค่ะ
น้ำมะเขือเทศ
มะเขือเทศกับคนท้อง ทานแล้วดีไหม ?
อย่างที่ทราบแล้วว่า มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายดังนั้นจึงดีกับผู้หญิงตั้งครรภ์ด้วยค่ะ อย่างเช่นช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้คุณแม่แข็งแรง ไม่เป็นหวัดง่าย ๆ ทำให้ผิวพรรณคุณแม่ดูสดใส ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ขับปัสสาวะและยังแก้ปัญหาท้องผูกให้ขับถ่ายง่ายขึ้นอีกด้วยนะคะ
10 ข้อต้องจำ เมื่อจะหม่ำมะเขือเทศ
มาสรุปย้ำอีกครั้งนะคะว่าทานมะเขือเทศอย่างไรถึงได้ประโยชน์สูงสุด
* ควรทานมะเขือเทศแบบสุก เพื่อให้ได้รับสารไลโคปีนมากขึ้น
* ผู้ชายยิ่งควรเน้นทานมะเขือเทศสุก เพราะไลโคปีน ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
* ส่วนผู้หญิงอาจทานแบบสดบ้าง เพื่อให้ได้รับวิตามินซี มาบำรุงผิวพรรณ
* หากจะดื่มน้ำมะเขือเทศ ควรดื่มหลังอาหาร เพื่อให้น้ำมันในอาหารช่วยดูดซึมไลโคปีน แต่ถ้าอยากดื่มก่อนอาหาร ให้หยดน้ำมันผสมลงไปก่อนดื่ม
* ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศเกินวันละ 2 แก้ว เพราะอาจมีโพแทสเซียมตกค้างในร่างกาย
* ถ้าดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่อง หรือบรรจุขวด ให้เลือกยี่ห้อที่มีโซเดียมน้อย
* ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมะเขือเทศ เพราะมีโพแทสเซียมสูง
* คนที่มีปัญหากรดไหลย้อน ไม่ควรทานน้ำมะเขือเทศมากเกินไป เพราะมะเขือเทศมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ
* ดื่มน้ำมะเขือเทศช่วยบำรุงผิวพรรณได้จริง แต่ไม่ได้ทำให้ผิวขาวขึ้น
* ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศมาก หรือติดต่อกันนานเกินไป เพราะอาจทำให้เป็นนิ่วได้
สารพันประโยชน์ขนาดนี้ อย่าลังเลที่จะเติม "มะเขือเทศ" เป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารของเรานะคะ หรือถ้าคั้นน้ำดื่มเองทุกวัน วันละแก้ว สองแก้ว ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย พร้อมวิตามินแร่ธาตุอย่างเต็มเปี่ยมที่จะได้รับจากพืชผักชนิดนี้



เข้าชม : 537





Re หัวข้อ :
รูปประกอบ : Limit 100 kB
ไอคอน : ย่อหน้า จัดซ้าย จัดกลาง จัดขวา ตัวหนา ตัวเอียง เส้นใต้ ตัวยก ตัวห้อย ตัวหนังสือเรืองแสง ตัวหนังสือมีเงา สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีส้ม สีชมพู สีเทา
อ้างอิงคำพูด เพิ่มเพลง เพิ่มวีดีโอคลิป เพิ่มรูปภาพ เพิ่มไฟล์ Flash เพิ่มลิงก์ เพิ่มอีเมล์
รายละเอียด :
ใส่รหัสที่ท่านเห็นลงในช่องนี้
ชื่อของท่าน :


 
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอกะปง
 หมู่ที่ 2 ตำบลท่านา อำเภอกะปง จังหวัดพังงา 82170 โทร 076-499433 โทรสาร 076-499433
E-mail : nfekapong@hotmail.com
FB : www.facebook.com/nfekpong

Powered by MAXSITE 1.10   Modify by   นิกร เกษโกมล   Version 2.05